เทคนิคการเข้าฝึกอบรมให้ได้ผลดีเยี่ยม
เรียนอย่างไรให้ได้ผล

การลงทุนที่คุ้มค่า คือ การพัฒนาศักยภาพมนุษย์แล้วเราจะให้การลงทุนนี้คุ้มค่าได้เต็มร้อยต้องทำอย่างไร

ศูนย์ฝึกอบรมเดอะเบสท์ สปีช พลัส (The BestSpeech plus training center) เป็นผู้จัดคอร์ส ฝึกอบรมในหัวข้อ การสื่อสารการพูด และ ทัศนคติ มีผู้มาเข้ารับการฝึกอบรมเป็นจำนวนมากทั้งในรูปแบบตัวบุคคลมาเรียนเอง กับ รูปแบบบริษัทส่งมาเป็นคณะ  

ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ใช้งบประมาณส่วนตัวมาสมัครเรียนย่อมเล็งเห็นคุณค่าและประโยชน์ที่คาดหวังว่าจะได้รับคนกลุ่มนี้จะเดินเข้ามาในห้องอบรมด้วยความตั้งใจบวกกับความตื่นเต้นว่าตนจะได้เรียนรู้อะไรบ้างจะมีสมาธิในการเรียนรู้และพร้อมที่จะฝึกฝนตามโจทย์ต่างๆที่วิทยากรแนะนำส่งผลให้ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งส่วนใหญ่ที่มาอบรมกับศูนย์ฝึกอบรมเดอะเบสท์สปีช พลัส จะได้เกินความคาดหมายและพึงพอใจอย่างมาก 

ส่วนคณะบุคคลหรือผู้ที่บริษัทส่งมาเรียนกับเรา ก็จะมีสองลักษณะเช่นกันนั่นคือ มาด้วยความเต็มใจและตั้งใจเรียน กับ มาด้วยความจำใจจึงฝืนใจและอึดอัดที่จะเรียนรู้ 

‍ไม่ว่าจะมาด้วยลักษณะใด
ถ้าต้องการผลลัพธ์ของการเรียนรู้ในระดับที่ดีเยี่ยมต้องทำดังนี้.. 

ใช้หลัก 4 ป.  เปิดใจ ปรับตัว เปลี่ยนพฤติกรรม มีเป้าหมาย

เปิดใจ ป.ที่1 คือการเปิดใจซึ่งเป็นขั้นตอนแรกและเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ผู้เข้ามารับการฝึกอบรม ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรศิลปะการพูด, คอร์สฝึกพูด ,ศาสตร์การฟัง, Growth Mindset,  ภาวะผู้นำ หรือ นักขายมืออาชีพจะต้องเรียนรู้ผ่านกระบวนการฝึกฝนในรูปแบบต่างๆ เช่นการทำ workshop ที่ต้องแสดงความคิดเห็นการทำบททดสอบฝึกฝนในทักษะต่างๆ ที่ต้องแสดงความสามารถสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของคนที่มี Comfort zone สูง คือเป็นคนขี้อาย เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความเชื่อมั่นในตนเองหรือเป็นคนชอบเก็บตัว ไม่ชอบการแสดงออก

ดังนั้นการเปิดใจของเราเองเพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับเรื่องราวต่างๆในห้องอบรมจึงเป็นประตูด่านแรกที่ต้องก้าวผ่านให้ได้

นอกจากคนที่ไม่กล้าแสดงออกแล้วยังมีคนอีกประเภทคือ มีทัศนคติต่อต้านกับหัวข้อหลักสูตรหรือตัววิทยากร เช่น “ทำไมฉันต้องมาเรียนการพูดด้วยก็ฉันพูดได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็นำเสนอ present งานอยู่แล้วไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร”  บางท่านก็คิดว่าทำไมต้องมาเรียนคอร์สการฟัง “ฉันฟังไม่เป็นหรือ”ที่เจอเป็นประจำคือ หลักสูตรที่เกี่ยวกับทัศนคติ ผู้ที่ถูกส่งมาเรียนจะคิดว่าเขาถูกมองว่าเป็นคนที่มีทัศนคติไม่ดีหรืออย่างไร จึงถูกส่งมา ปรับทัศนคติ

ทั้งสองประเภทของผู้ที่เข้ามาอบรมแบบไม่พร้อมนี้ควรเปิดใจตนเองก่อน ขอแนะนำแนวคิดง่ายๆดังนี้

• ไหนๆก็มาแล้ว ลองฟังก่อนดีไหม อาจจะได้อะไรบ้างก็ได้จะได้ไม่ขาดทุน มีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปก็ยังดี
  

• ดูซิ ว่าจะมีอะไรมาสอนฉัน กึ่งๆท้าทาย แต่ในความคิดที่ท้าทายเราต้องวางทัศนคติเดิมไว้ข้างหลังและตั้งใจฟังงทุกเม็ดเก็บทุกกระบวนท่า เพื่อจะได้คำตอบชัดว่า เขามีของจริงหรือเปล่า
  

• ช่างแ..ง ข้อนี้ล่อแหลมมาก ไม่ได้เหมาะกับทุกคนแต่กับบางท่านเท่านั้น ท่านที่ค่อนข้างหัวแข็งหน่อย มีความเป็นตัวเองชัดเจนมากคงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้กลยุทธ์นี้ การบอกตนเองว่า ช่างแ..งเป็นการตัดความคิดรกๆทั้งหมดในหัวออกไป หยุดฟุ้งซ่านกับความไม่สบอารมณ์ทั้งหมดแล้วปล่อยให้ตัวเองว่างเปล่าในห้องอบรม ความว่างนี้แหละจะเป็นที่บรรจุ และรองรับเรื่องราว ข้อมูล ความรู้ไว้โดยอัตโนมัติจะเกิดการฉุกคิด หรือ สะกิดใจขึ้นมาถ้ามีเรื่องที่น่าสนใจ
  

• อย่าคิดว่าเป็นหน้าที่ ท่านอาจสงสัยว่าทำไมไม่ให้คิดว่ามาเรียนเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็ดีแล้วนี่ที่มาทำตามหน้าที่  ท่านคงเคยเห็นคนเสิร์ฟอาหารที่ทำตามหน้าที่แต่ไม่มีใจบริการวางจางอาหารหรือแก้วน้ำกระแทกกระทั้นจนอาหารเกือบหกตกกระเด็นใส่โต๊ะ  การเข้ารับการอบรมนอกเหนือการทำตามหน้าที่คือการเปิดใจเรียนรู้และสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากลับไป
  

ทั้ง 4 ข้อนี้ไม่ได้เหมาะกับเราทุกข้อ เราต้องเลือกข้อที่เหมาะกับเราให้มากที่สุดประเด็นสำคัญคือ การเปิดใจที่ดีและถูกต้องจะนำมาซึ่งการรับฟังที่เป็นกลางปราศจากอคติ ความตั้งใจฟังจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับผู้เข้ารับการอบรม  ป.ที่1 เริ่มที่ใจของเราก่อน ปรับตัว

ป.ที่2 การปรับตัวจะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของเราหลังจากที่เปิดใจตัวเองแล้วเราจะต้องปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของห้องอบรมที่คาดเดาไม่ถูกว่าจะต้องเจอกับใคร อะไรหรืออย่างไรบ้าง เช่น เราอาจจะพบกับคนหลากหลายอาชีพ ต่างวัย ต่างประสบการณ์  

การปรับตัว ปรับใจ สองสิ่งที่ต้องทำงานด้วยกัน จะช่วยให้เราจะเริ่มเห็นมุมมองใหม่ๆที่แตกต่างจากเดิม การปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น หรือ เข้ากับสถานการณ์เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝนสำหรับคนที่ไม่เคยชินจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากๆบทความนี้จึงต้องเริ่มที่การเปิดใจ ดังนั้นคนที่คิดว่าตนเองเข้ากับคนอื่นได้ยากไม่ค่อยชอบมีมนุษยสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าควรเริ่มต้นเปิดใจตัวเองให้มากที่สุดเสียก่อนแล้วการเปิดใจจะส่งผลให้เราปรับใจตนเอง เมื่อเราเริ่มปรับใจได้การปรับตัวก็จะเริ่มต้นเช่นกัน  เปลี่ยนพฤติกรรม

ป.ที่ 3 พฤติกรรมของเราจะพัฒนาจากคนเก็บตัวหรือไม่มีอารมณ์สุงสิงกับใครเป็นพฤติกรรมที่มีเสน่ห์ต่อคนรอบข้างเข้ากับคนอื่นได้เมื่อเราเปิดใจและปรับตัวเองได้ในระดับที่ดี ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นเปลี่ยนพฤติกรรมอาจจะต้องฝืนๆตัวเองอยู่บ้างก็ตามเมื่อเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมไปทีละน้อยเราจะเริ่มสนุกกับกิจกรรมต่างๆ และรู้สึกว่าตนเองมีตัวตนมีคนเห็นคุณค่าของเรามากขึ้นเมื่อนั้นเราจะเริ่มสนุกกับการเรียนรู้และฝึกฝนตามกิจกรรมต่างๆ ของหลักสูตร 

‍มีเป้าหมาย ป.ที่4   อย่างที่ได้คุยกันแต่ต้นว่าคนที่มาอบรมแบบมีข้อจำกัดและไม่เต็มใจมักจะมาอย่างไร้เป้าหมาย แต่การมีเป้าหมายจะเกิดขึ้นได้ถ้าเราเริ่มเปิดใจตนเอง และปรับตัว เมื่อถึงช่วงของการเปลี่ยนพฤติกรรม เราควรรู้เป้าหมายของการเปลี่ยนพฤติกรรมมีเป้าหมายในการตอบสนองต่อวิทยากรหรือกิจกรรมต่างๆ ในคลาสเรียนแล้วนำเป้าหมายนั้นมาเป็นของเรา มีเป้าหมายในการเรียนและการฝึกเป้าหมายนี้ไม่จำเป็นต้องใหญ่ แต่ควรมีเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ และเยอะๆ ในทุกช่วงของการเรียนรู้หรือฝึกฝน  องค์ประกอบของเป้าหมายเล็กๆ จะค่อยๆ รวมกันจนเป็นผลลัพธ์ที่ดีสำหรับการเข้ารับฝึกอบรมในครั้งนั้นๆ 

สำหรับท่านที่เข้ารับการอบรมด้วยความตั้งใจ เต็มใจมีเป้าหมายชัดเจนในการเข้ารับการอบรม ก็สามารถนำหลักการ 4 ป. นี้ไปใช้ได้แต่ต้องขอเตือนนิดนึงว่า ให้ระวังเรื่องความคาดหวัง ถ้าเราคาดหวังมากเกินไป หรือความคาดหวังที่เรามีไม่ตรงกับสิ่งที่ได้ อย่าเสียอารมณ์ อย่าเสียความรู้สึกให้เก็บเกี่ยวความรู้นั้นไว้ก่อน เก็บให้หมดจดพอได้จังหวะควรตั้งคำถามกับวิทยากรหรือผู้ฝึกสอนขอคำแนะนำเพื่อเชื่อมโยงกับความคาดหวังของเรา 

สิ่งสุดท้ายที่จะฝากไว้ให้กับผู้ที่เข้ารับการอบรมไม่ว่าหลักสุตรใดก็ตามคือ..
‍เรียนให้สนุก

‍จงเพลินเพลิดกับเรื่องซีเรียส จะไม่รู้สึกเครียด ให้สนุกกับสิ่งนั้น