ท่านที่ต้องการฝึกทักษะการพูดด้วยตนเอง สามารถทำได้ทุกคน แต่ต้องไม่ใช่การอ่านตำราเป็นเล่มๆ หรือเปิดดูในมือถือฟังกูรูต่างๆสอนในคลิปนั้นคลิปนี้ บอกได้เลยว่าทั้งสองอย่างที่กล่าวมาดีและมีประโยชน์ แต่จะนำไปใช้ไม่ได้เลยถ้าท่านไม่ฝึกฝนอย่างจริงจังและนำไปใช้งานจริง
บทความนี้จะมาบอกวิธีการฝึกพูดด้วยตนเองให้เห็นผลทันตา ไม่ว่าท่านจะเคยศึกษามามากน้อยแค่ไหนก็ตาม ลองมาใช้วิธีที่ผมจะแนะนำดังต่อไปนี้
ประการแรก เราต้องมีเป้าหมายของการฝึกที่ชัดเจน ว่าจะฝึกพูดไปเพื่ออะไร เป้าหมายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ แต่เราต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายนั้น เช่น บางคนบอกว่า แค่ต้องการฝึกพูดเพื่อให้คุยกับคนอื่นรู้เรื่อง เพราะมีแต่คนบอกว่าเราเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่อง เราต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายนี้อย่างจริงจัง จึงจะทำให้การเริ่มต้นฝึกฝนมันมีความหมายตามไปด้วย หลายท่านบอกว่าก็ศึกษาไว้ประดับความรู้เป็นทักษะที่อาจจะต้องใช้ในอนาคต ถ้าคิดอย่างนี้จะไปได้ช้าถึงช้ามาก เป้าหมายอย่างนี้ไม่ใช่ไม่ดี แต่เป็นการตั้งเป้าหมายไม่ได้ใส่ความสำคัญลงไป วิธีตั้งเป้าหมายแบบนี้ให้คิดว่า ทักษะการพูดเป็นทักษะที่สำคัญมากในการทำงานของคนทุกระดับ ไม่มีผู้นำหรือคนสำเร็จในโลกที่พูดไม่เก่ง หรือพูดไม่เป็น ดังนั้นเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบความสำเร็จ จึงจำเป็นต้องฝึกทักษะการพูดให้มีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่าวิธีคิดในการตั้งเป้าหมายเป็นส่วนสำคัญในการนำพาให้เราสู่เป้าหมายได้สำเร็จ
พอตั้งเป้าหมายแล้วก็ศึกษาหาความรู้ ขั้นตอนนี้บอกก่อนว่า ถ้าเราไม่เข้าคอร์สอบรมศิลปะการพูด เราก็ต้องอ่านให้มาก เรียนรู้ให้มาก แล้วต้องมากแค่ไหน ขอให้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการพูดอย่างน้อย 1 เล่ม และ ติดตามฟังหรือดูคลิปต่างๆในโลกโซเซียล อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน และในแต่ละวันควรได้เทคนิคบางอย่างมาฝึกอย่างน้อย 1 เทคนิค บอกก่อนว่าต้องนำมาฝึกฝน ฝึกตามคลิปที่กูรูแนะนำ ฝึกให้บ่อย ฝึกจนเข้าใจ ไม่ต้องถึงขนาดทำได้อย่างมืออาชีพ แต่ฝึกให้พอทำได้ไปก่อน ในเดือนแรกๆเราจะตื่นตาตื่นใจกับเทคนิคต่างๆมากมาย แต่หลังจากนั้นเราควรคัดเฉพาะเทคนิค หรือวิธีการที่เราสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน หรือในงานที่ทำ เพื่อให้เราโฟกัสกับสิ่งที่เรียนรู้ ทำซ้ำๆ ทำบ่อยๆ ผิดบ้างพลาดบ้าง ไม่ได้ดั่งใจบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้พิจารณาตัวเองว่าเราก้าวหน้าอะไรขึ้นมาบ้าง อย่ามองว่าเหลือระยะทางอีกไกลกว่าจะไปถึงเป้าหมาย ให้มองว่าเราเดินห่างออกมาจากจุดเริ่มต้นได้เท่าไหร่แล้ว
คราวนี้จะมาบอกแนวทางการฝึกซ้อม ฝึกกับซ้อมไม่เหมือนกันนะ “ฝึก” คือ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือทำไม่ได้ให้สามารถทำได้ “ซ้อม” คือ ทำในสิ่งที่ฝึกมาจนพอทำได้ให้เกิดความชำนาญมากขึ้น ยิ่งซ้อมมากก็ยิ่งชำนาญมาก และในระหว่างการซ้อม เราจะพบว่ามีบางอย่างที่ต้องกลับไปฝึกเพิ่มเติม ฝึกซ้อมจึงควบคู่กันไปอย่างนี้
การฝึกการพูดไม่ต้องพูดหน้ากระจก เพราะถ้าพูดหน้ากระจกเราจะมัวแต่มองหน้าตนเองทำให้เสียสมาธิในการคิดคำพูด เสียสมาธิในการจินตนาการเรื่องราวที่จะพูด ให้พูดแบบจินตนาการว่าเรากำลังยืนพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก ยืนบนเวที และหาอะไรสักอย่างมาถือในมือให้เหมือนกำลังถือไมค์พูด ในขณะเดียวกันให้บันทึกเสียงไว้ด้วยเพื่อนำกลับมาฟังซ้ำ จะได้รู้ว่ามีอะไรตรงไหนที่ควรปรับปรุงแก้ไข การฝึกหรือซ้อมพูดแบบนี้ไม่ควรมีสคริปท์เพราะจะทำให้เครียดและกดดันตัวเองให้พูดตามสคริปท์ แรกๆแนะนำว่า นึกจะพูดอะไรก็พูดไปเลย เพียงแค่หยิบสิ่งของหรือมองหาอะไรสักอย่างที่ใกล้ตัวนำมาพูด เช่น หยิบแจกันดอกไม้บนโต๊ะมาเป็นประเด็นในการพูด ก็พูดจ้อไปเรื่อยๆว่า แจกันดอกไม้นี้วางอยู่บนโต๊ะอาหาร คุณแม่จะนำดอกไม้มาเปลี่ยนทุกๆ 2 วัน เพราะคุณแม่เป็นคนชอบดอกไม้มาก โดยเฉพาะอย่างดอกกุหลาบสีขาว บรา บรา บรา บรา เนื้อหามาจากประสบการณ์ของเราต่อสิ่งนั้น การฝึกเช่นนี้จะช่วยให้เรามีจินตนาการและสามารถผันภาพในหัวออกมาเป็นคำพูด เป็นถ้อยคำ เป็นเรื่องเป็นราว ก็จะได้ทักษะการเล่าเรื่องอีกด้วย
เมื่อเราฝึกฝนตนเองได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็เริ่มพัฒนาต่อไปในการใช้น้ำเสียงและจังหวะจะโคนในการพูด มีแบ่งวรรคตอน มีหยุดบ้าง เร็วบ้าง ช้าบ้าง เสียงดังเสียงค่อยมีสลับใช้ในช่วงที่เหมาะสม มีเสียงสูงเสียงต่ำ ให้อารมณ์เสียงตามเนื้อหา แต่ต้องระวังอย่าให้ถึงกับเหมือนการแสดงละครเวที จะดูไม่เป็นธรรมชาติ บุคลิกท่าทางและน้ำเสียงของเราจะเป็นภาพลักษณ์ของเรา จึงเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้
ให้จำไว้ว่าทักษะการพูดที่ดีนอกจากเนื้อหาและการนำเสนอที่เป็นธรรมชาติแล้ว การพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ เสียงดังฟังชัดก็มีความจำเป็นที่จะช่วยให้การพูดของเรานั้นสมบูรณ์และน่าฟังมากยิ่งขึ้น
วิธีการฝึกให้เปล่งเสียงชัดเจนและมีจังหวะจะโคนในการพูด คือ การอ่านหนังสือออกเสียง ให้หาหนังสืออะไรก็ได้ มาอ่านทุกวัน วันละ 10-20 หน้า โดยการอ่านออกเสียงเหมือนเด็กนักเรียนอ่านหนังสือในห้องเรียนให้ครูฟัง อย่าอ่านเร็ว ให้อ่านช้าๆ ช้ากว่าปกติที่เราเคยอ่านหนังสือ การอ่านช้าๆและออกเสียงดังพอสมควร จะช่วยให้เราขยับริมฝีปากมีการเปิดปาก ขากรรไกรได้ถูกขยับใช้งานบ่อยๆ จะทำให้เวลาเราพูด สามารถพูดได้คล่องปากคล่องคอ แถมยังออกเสียงได้ชัดเจนอีกด้วย ถามว่าควรอ่านให้ดังแค่ไหน ก็ดัง พอให้เราได้ยินคนเดียว ไม่ต้องดังข้ามห้องให้คนอื่นตกใจนึกว่าเราไม่ปกติ ฝึกอ่านออกเสียงแบบนี้ 1-3 เดือนก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
ขอให้ทุกท่านได้นำเทคนิคนี้ไปใช้และฝึกฝนให้ชำนาญและเป็นนักพูดที่ดีต่อไป
มีหลักสูตรการอบรมพนักงาน in house training / สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
คอร์สพัฒนาบุคลิกภาพ : https://my-best.in.th/52062
facebook : https://www.facebook.com/thebestspeechplus
Line@ : @thebest1
Website : https://www.thebestspeechplustraining.com/
Tel : 061-356-3964, 093-459-5562, 094-945-6539